ขึ้นชื่อว่า เอลกลาซิโก้แล้ว ก็ต้องเป็นเกมที่ดุเดือดและมันมากๆแน่นอนเพราะว่าทีมมหาอำนาจฟุตบอลของโลกอย่าง เรอัล มาดริด พบกับทีมคู่ปรับตลอดกาลอย่าง บาร์เซโลน่า เพราะว่า 2 ทีมนี้มาเจอกันทีไรเป็นอันต้องดุเดือดกันตลอดไม่ใช่แค่เกมส์การกีฬาเพราะว่าก่อนหน้านี้
รัฐบาล
สเปนในสมัยนายพลฟรังโก้ ได้พยายามกดขี่ข่มเหงแคว้นที่ไม่ให้ความร่วมมือ หรือ
แม้แต่แคว้นที่ยังให้ความสำคัญกับภาษา วัฒนธรรม สัญลักษณ์ของแต่ละแคว้น
แน่นอนที่สุดทีมฟุตบอลที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือแอธเลติก บิลเบา และ
บาร์เซโลน่า ในส่วนของบาร์เซโลน่านั้นถูกบังคับให้เปลี่ยนชื่อสโมสรจาก Futbal Club Barcelona เป็น Spanish Club de Futbal Barcelona (ชื่อแบบเต็ม)
ทำให้แฟนบอลชาวกาตาลันไม่ชอบใจกับคำว่า “สแปนิช” แต่ก็ต้องจำยอมเพราะมิฉะนั้นอาจจะถูกอำนาจมืดทำลายสโมสร
แม้ว่าภายหลังจะมีการเปลี่ยนชื่อกลับตามเดิมก็ตาม แต่ความทรงจำอันเลวร้ายก็ยังไม่อาจลืมเลือนในหัวของชาวเบลากราน่า
นายพลฟรังโก้
ก็เคยห้ามบาร์เซโลน่าลงเล่นในสนามเหย้าของตนเองมาแล้วหลังจากที่แฟนบอลบาร์
เซโลน่าโห่ใส่เพลงชาติสเปนจึงทำให้ทางการสเปนแสดงความไม่พอใจออกมาด้วยการ
สั่งปิดสนามเหย้าเป็นเวลา 6 เดือนด้วยกัน
นอกจากนี้ทางการสเปนยังเคยวางระเบิดในสมาคมแฟนบอลของบาร์เซโลน่า จึงทำให้เกิดความเสียหายและผู้คนบาดเจ็บ
ผลที่ตามมาคือยอดสมาชิกอย่างเป็นทางการของสโมสรได้ลดลงอย่างน่าใจหาย
ด้วยความหวาดกลัวที่ว่าหากเป็นสมาชิกของสโมสรแล้วจะถูกทางการสเปนลอบทำร้าย
โจน
กัมเปร์ ผู้ก่อตั้งสโมสรบาร์เซโลน่าย่อมหลีกหนีไม่พ้นเรื่องเลวร้ายแบบนี้เช่นกัน
อดีตประธานสโมสรชาวสวิสได้ถูกบีบบังคับให้ออกจากการเป็นประธานและบอร์ด
บริหารของบาร์เซโลน่า กับปัญหาส่วนตัวและปัญหาทางการเงิน โจน
กัมเปร์จึงตัดสินใจจบชีวิตของตนเองลงในปี 1930 อย่างไรก็ตาม
เหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของบาร์เซโลน่าได้ถูกจารึกไว้ในปี 1943
ในศึกโกปปา เดล เรย์ รอบรองชนะเลิศ เกมนัดแรกในสนามเลส กอร์ต
(อดีตสนามเหย้าของบาร์เซโลน่า) ผลปรากฏว่าบาร์เซโลน่าเอาชนะไปได้ 3-0
ในเกมที่สองนั้นต้องกลับไปเล่นที่สนามเหย้าของเรอัล มาดริด
นายพลฟรังโก้ได้ประกาศทั่วแผ่นพร้อมพูดอย่างเป็นลางว่า
ฟุตบอลคู่นี้ได้ถูกจัดขึ้นเพราะความกรุณาของทางการ
นั่นเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าเกมคู่นี้ไร้ความยุติธรรมอย่างแน่นอน และผล
การแข่งขันก็เป็นไปอย่างที่บาร์เซโลน่าคาดการณ์ นายพลฟรังโก้ส่งผู้ปกครองแคว้นกาสตีย่ามาต้อนรับบาร์เซโลน่าด้วยกำลังทหาร
ถึงในห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และมันก็เป็นอีกครั้งที่ฟุตบอลการเมือง
มีอิทธิพลเหนือเกมฟุตบอลที่ยุติธรรม ฟุตบอลโคตรมหาโกงครั้งนี้มีทั้งทหาร กรรมการ
เด็กเก็บบอล แฟนบอล ผู้เล่นมาดริด ต่างมีเอี่ยวทั้งสิ้น
ผลจบด้วยการปราชัยต่อมาดริด 11-1 แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือเรอัล มาดริด
จารึกแมตช์อัปยศในวงการฟุตบอลได้อย่างสวยหรู มีการกล่าวขานชัยชนะในนัดนี้ว่า
ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ส่วนผู้เล่นเรอัลในเกมนั้นต่างถูกเรียกว่า ฮีโร่
ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดกับความรู้สึกของแฟนบอลสเปนเป็นอย่างมาก
อ่านจากประวัติศาสตร์ข้างต้นแล้ว ผมหายสงสัยเลยว่า เวลาเจอกันทำไมเล่นอย่างกะออกรบ
จะฆ่ากันซะงั้น เพราะ ชาวบาร์เซโลน่า และแคว้นกาตาลุนย่า เกลียดความเป็นสเปนครับ
ปัจจุบัน ภาษายังใช้ภาษากาตาลุนย่าเป็นภาษาประจำแคว้น นอกจากในทางราชการจะใช้ภาษาสเปนเท่านั้น
แถมตอนนี้ มีนโยบายขอแตกประเทศจากสเปน โดยตั้งเป็น ประเทศ กาตาลุนย่าด้วยซ้ำ
โดยมีแคว้น อันดาลูเซีย (รีล เบติส / เรเครติโบ อูเอลบา ) ร่วมอุดมกรณ์ครั้งนี้
หากมองเรื่องการเมือง ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่้ ทำไห้ 2
แคว้นนี้ไม่ถูกกันอย่างมาก เกมเลยออกมาจึงสนุก
ที่มา https://fifa6886th.com
ไม่มีความคิดเห็น: